บันทึกอนุทิน
วิชา การจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
วัน/เดือน/ปี 21-22 มกราคม พ.ศ.2558
ครั้งที่ 2 กลุ่มเรียน 102 วันพุธและวันพฤหัสบดี
เวลาเข้าเรียน วันพุธ 8.30-10.10 น. , วันพฤหัสบดี 12.20-15.00 น.
วันพุธ ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2558
อาจารย์ให้นักศึกษาทำกิจกรรม
กิจกรรม : วาดภาพระบายสี
คำสั่ง : วาดภาพหัวข้อ " มือน้อยสร้างสรรค์ "
วันพฤหัสบดี ที่ 22 มกราคม พ.ศ.2558
ศิลปะ แต่เดิมหมายถึง งานช่างฝีมือเป็นงานที่มนุษย์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง ฉะนั้น งานศิลปะจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็น ผลงานที่มนุษย์ใช้ปัญญา ความศรัทธา และความพากเพียรพยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่
กิลฟอร์ด อธิบายความสามารถของสมองออกเป็น 3 มิติ
มิติที่ 1 เนื้อหา
- สัญลักษณ์
- ภาษา
- พฤติกรรม
มิติที่ 2 วิธีการคิด
- การจำ
- การคิดแบบอเนกนัย ( คิดได้หลายแบบ หลากหลาย )
- การคิดแบบเอกนัย ( ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด )
- การประเมินค่า
มิติที่ 3 ผลของการคิด
- จำพวก
- ความสัมพันธ์
- ระบบ
- การแปลงรูป
- การประยุกต์
- ความคล่องแคล่วในการคิด
- ความยืดหยุ่นในการคิด
- ความริเริ่มในการคิด
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ ( สมอง สองซีก )
สมองซีกขวา --------> ทำงานส่วนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
- มีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ หรือ 4MAT
- มีการทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ( Gardner )
- ความสามารถด้านดนตรี
- ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
- ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา
- ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างในการแก้ปัญหา
- ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
- ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
- ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
1. ความสามารถด้านภาษา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- เรียนรู้และเข้าใจคำพูดต่างๆ ได้เร็วเกินวัย
- เลือกใช้คำได้หลากหลาย มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการพูดจูงใจ การโน้มน้าว การอธิบาย การเล่านิทาน การโต้เถียง การใช้เหตุผล ตลอดจนการเขียนข้อความบรรยาย เขียนสรุปจะทำได้ดีมาก เด็กจะมีลักษณะนิสัยชอบคิดชอบเขียน ความจำดี
2. ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีความถนัดเรื่องคณิตศาสตร์ เข้าใจเรื่องตัวเลขได้เร็ว
- ใช้เงินเป็นและเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- มีความสามารถในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวเลข การคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การทดลอง การสำรวจ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การใช้เหตุผล
3. ความสามารถด้านดนตรี
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ถนัดและเก่งดนตรี
- ชอบฟังเพลง ร้องเพลง และจำเนื้อเพลงได้เร็ว
- ตอบสนองกับจังหวะดนตรีได้ดี เต้นตามจังหวะดนตรีได้
- สนใจและสนุกกับการเล่นเครื่องเล่นดนตรีเป็นพิเศษ เด็กจะมีลักษณะนิสัยอารมณ์ดี ชอบร้องชอบเต้น
4. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีความสามารถในการเห็นภาพรวม
- สามารถใช้พื้นที่ในการวาดภาพได้ดี ขนาดและสัดส่วนเหมาะสม
- เข้าใจวิธีการลอกลาย
- เขียนแผนที่ได้ดี เข้าใจเรื่องทิศทาง เส้นทาง
- มองเห็นโลกในมุมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
5. ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง ชอบการวิ่งเล่น ออกกำลังกาย เต้นรำ
- มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อได้ดี ทั้งการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง กระโดด มีทักษะการทรงตัวที่ดี
6. ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ชอบบริการผู้อื่น ช่างเอาอกเอาใจ
- ชอบช่วยเหลือเพื่อน
- พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน น่ารัก
- ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ดี กล้าพูดกล้าแสดงออก ชอบพบปะผู้คนหลากหลาย ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
- ชอบสังเกต มองเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล
7. ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
ทฤษฎีโอตา ( Auta )
เดวิส ( Davis ) และซัลลิแวน ( Sullivan )
ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบโอตา มีลำดับการพัฒนา4 ขั้นตอน ได้แก่ การตระหนัก ความเข้าใจ เทคนิควิธีและการตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ 1 การตระหนัก
ตั้งตระหนักถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มีต่อตนเองทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น
- การพัฒนาปรีชาญาณ
- การรู้จักและเข้าใจตนเอง
- การมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์
- การมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ขั้นตอนที่ 2 ความเข้าใจ
มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องต่าง ๆ
- มีความรู้และเนื้อหาเรื่องบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์
- ลักษณะกระบวนการความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์
- เทคนิค วิธีการฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนที่ 3 เทคนิควิธี
การรู้เทคนิควิธีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน
- เทคนิควิธีการในการฝึกความคิดสร้างสรรค์
- การระดมสมอง
- การคิดเชิงเปรียบเทียบ
- การฝึกจินตนาการ
ขั้นตอนที่ 4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่าง ๆ
การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง สามารถดึงศักยภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
- เปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยปรับตัวอย่างเหมาะสม
- มีความคิดริเริ่มและผลิตผลงานด้วยตนเอง
- สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
วงจรของการขีดๆ เขียนๆ
ขั้นที่ 4 ขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ ( pictorial stage )

การประเมินผล
วันพุธ ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2558
อาจารย์ให้นักศึกษาทำกิจกรรม
กิจกรรม : วาดภาพระบายสี
คำสั่ง : วาดภาพหัวข้อ " มือน้อยสร้างสรรค์ "
ผลงานของฉัน
ชื่อผลงาน " มือหลากสี "
รวมภาพผลงานของเพื่อน ๆ
วันพฤหัสบดี ที่ 22 มกราคม พ.ศ.2558
ศิลปะ แต่เดิมหมายถึง งานช่างฝีมือเป็นงานที่มนุษย์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง ฉะนั้น งานศิลปะจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็น ผลงานที่มนุษย์ใช้ปัญญา ความศรัทธา และความพากเพียรพยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่
- ความงาม ( ทางกาย , ทางใจ )
- รูปทรง
- การแสดงออก
" ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความงามและความพึงพอใจ "
- Art มีรากฐานมาจาก ภาษาลาตินว่า Ars หมายถึง ทักษะ หรือ ความชำนาญ หรือ ความสามารถพิเศษ
- ศิลปะในภาษาไทย มาจากสันสกฤตว่า ศิลปะ
- ภาษาบาลี ว่า สิปป มีความหมายว่า ฝีมืออันยอดเยี่ยม
- สิ่งที่เด็กแสดงออกซึ่งความเจริญเติบโต ความนึกคิด ความเข้าใจ และการแปลความหมายของสิ่งแวดล้อม ( โลเวนฟิลด์และบริเตน, 1975 )
- ศิลปะที่มองเห็นได้ ที่เรียกว่า ทัศนศิลป์ คือศิลปะสองมิติ หรือ สามมิติ แทนความรู้สึกนึกคิดของเด็กโดยตรง ( วิรุณ ตั้งเจริญ, 2526 )
- งานศิลปะสำหรับเด็ก ไม่ใช่เพียงแต่การวาดภาพ ระบายสี หรือการประดิษฐ์สิ่งต่างๆเท่านั้น แต่หมายถึงการแสดงออก การสื่อสาร การถ่ายทอด จินตนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กแต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็กและสิ่งแวดล้อม ( สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล, 2545 )
ปรัชญาศิลปศึกษา
- มุ่งสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์
- เป็นเครื่องมือในการแสดงออกและใช้ความคิดสร้างสรรค์
- ให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างสรรค์งาน
- เน้นความไวในการรับรู้ด้านอารมณ์ ความคิดจากสิ่งที่มองเห็น
- ความรู้สิ่งที่มีอยู่เบื้องหลังผลงาน
- สนับสนุนในเรียนรู้ด้วยการค้นคว้า ทดลองสิ่งต่างๆ
- นำไปใช้พัฒนาชีวิตด้านอื่นๆได้
ความสำคัญของศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
ตอบสนองความต้องการของเด็กปฐมวัย
- เด็กชอบวาดรูป ขีดๆ เขียนๆ
- เด็กมีความคิด จินตนาการ
- เด็กใช้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่บางครั้งไม่สามารถ พูด อธิบายได้
- เด็กต้องการการสนับสนุนจากผู้ใหญ่
- เด็กต้องการกำลังใจ การสร้างความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจ
ความสำคัญของการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
- เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย
- ช่วยขัดสรรประสบการณ์ที่มีผลต่อการเรียนรู้ให้กว้างมากขึ้น
- ช่วยพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล
- ช่วยเสริมสร้าง / กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ
- ทฤษฎีพัฒนาการ
- ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ ( Torrance )
- ทฤษฎีความรู้สองลักษณะ ( สมอง สองซีก )
- ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ( Gardner )
- ทฤษฎีโอตา ( Auta )
ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด ( Guilford )
- นักจิตวิทยาชาวอเมริกา
- ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ตัวประกอบของสติปัญญา
- ความมีเหตุผล
- การแก้ปัญหา
ความสามารถทางสมองกิลฟอร์ด อธิบายความสามารถของสมองออกเป็น 3 มิติ
มิติที่ 1 เนื้อหา
- มิติเกี่ยวกับ ข้อมูลหรือสิ่งเร้าที่เป็นสื่อในการคิด
- สมอง รับข้อมูลเข้าไปคิด พิจารณา 4 ลักษณะ
- สัญลักษณ์
- ภาษา
- พฤติกรรม
มิติที่ 2 วิธีการคิด
- มิติที่แสดงลักษณะการทำงานของสมองใน 5 ลักษณะ
- การจำ
- การคิดแบบอเนกนัย ( คิดได้หลายแบบ หลากหลาย )
- การคิดแบบเอกนัย ( ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด )
- การประเมินค่า
มิติที่ 3 ผลของการคิด
- มิติที่แสดงถึงผลที่ได้จากการทำงานของสมอง จากมิติที่ 1 + มิติที่ 2
- มี 6 ลักษณะ
- จำพวก
- ความสัมพันธ์
- ระบบ
- การแปลงรูป
- การประยุกต์
- สรุป
- ทำให้ทราบความสามารถของสมองที่แตกต่างกันถึง 120 ความสามารถตามแบบจำลองโครงสร้างทางสติปัญญาในลักษณะ 3 มิติ คือ มีเนื้อหา 4 มิติ วิธีการคิด 5 มิติ และผลทางการคิด 6 มิติ
รวมความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วย คือ วิธีการคิดอเนกนัย เป็นการคิดหลายทิศทาง ฟลายแง่หลายมุม คิดได้กว้างไกล ซึ่งลักษณะความคิดนี้จะนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งแปลกใหม่
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ ( Torrance )
- นักจิตวิทยาและนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียง ชาวอเมริกัน
- เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ว่า
- ความคล่องแคล่วในการคิด
- ความยืดหยุ่นในการคิด
- ความริเริ่มในการคิด
- แบ่งลำดับขั้นการคิดสร้างสรรค์เป็น 5 ขั้น
- ขั้นการค้นพบปัญหา
- ขั้นการตั้งสมมุติฐาน
- ขั้นการค้นพบคำตอบ
- ขั้นยอมรับผลจากการค้นพบ
ขั้นที่ 1 การค้นพบความจริง
- เป็นขั้นเริ่มต้น ค้นหาสาเหตุ
- ในการทำงานเริ่มแรกต้องมีการคิดค้นหรือหาข้อมูลต่างๆ จะเกิดความรู้สึกกังวล สับสน วุ่นวาย แล้วค่อยๆปรับตัว พยายามคิดหาสาเหตุว่าสิ่งที่มำให้กังวลใจนั้นคืออะไร
- เป็นขั้นที่สามารถคิดได้และเกิดความเข้าใจแล้วว่า ปัญหาคืออะไร
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมุติฐาน
- เมื่อรู้ปัญหาว่าคืออะไรจากขั้นที่ 1 และ ขั้นที่ 2 แล้วก็พยายามคิดแก้ปัญหา
- หาทางออกโดยการตั้งสมมุติฐาน
ขั้นที่ 4 การค้นพบคำตอบ
- เน้นการค้นพบคำตอบจากการตั้งสมมุติฐานด้วยวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 5 ยอมรับผลการค้นพบ
- ค้นพบว่าสมมุติฐานที่ทดสอบไปในขั้นที่ 4 นั้นได้ผลเป็นอย่างไร
- สรุปว่าสมมุติฐานใดคือการแก้ปัญหาหรือทางออกที่ดีที่สุด
- สรุป ทอร์แรนซ์กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหาหรือสิ่งที่ขาดหายไปแล้วเกิดความพยายามในการสร้างแนวคิด ตั้งสมมุติฐาน ทดสอบสมมุติฐานและเผยแพร่ผลที่ได้ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ ทำให้เกิดแนวทางในการค้นคว้าสิ่งแปลกๆใหม่ๆต่อไป
- ขั้นความคิดสร้างสรรค์นี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับขั้นการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ทอร์แรนซ์จึงเรียกขั้นการคิดสร้างสรรค์นี้ว่า กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ ( สมอง สองซีก )
- เป็นทฤษฎีที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นการค้นพบความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์
- การทำงานของสมองสองซีก ทำงานแตกต่างกัน
สมองซีกขวา --------> ทำงานส่วนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ
- แพทย์หญิงกมลพรรณ ชีวพันธุศรี กล่าวว่า คนเรามีสมอง 2 ซึก
- คือ สมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สามารถพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี
- ส่วนสมองซีกซ้ายที่เป็นส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผลจะพัฒนาในช่วง 9-12ปี และสมองจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี
- ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักได้รับการพัฒนาเพียงสมองซีกใดซีกหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่ให้ความสนใจการทำงานของสมองอีกซีกหนึ่งเท่าที่ควร
- นักการศึกษาและนักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสำคัญและสนับสนุนการทำงานของสมอง 2 ซีกอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพราะบรรดางานค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ งานสร้างสรรค์ศิลปะและความคิดแปลกใหม่ ล้วนเกิดจากการทำงานของสมองซีกขวา
- แนวคิดเกี่ยวกับการทำงานของสมองสองซีก ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์และพัฒนาการจัดการศึกษา
- มีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ หรือ 4MAT
- มีการทำกิจกรรมที่หลากหลาย
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ( Gardner )
- ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาการศึกษา ชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
- ศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายขิงสติปัญญา
- ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญา (ศักยภาพและความสามารถที่หลากหลายของมนุษย์ )
- ทฤษฎีพหุปัญญา จำแนกความสามารถหรือสติปัญญาของคนเอาไว้ 9 ด้าน ได้แก่
- ความสามารถด้านดนตรี
- ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
- ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษา
- ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างในการแก้ปัญหา
- ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
- ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
- ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
1. ความสามารถด้านภาษา
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- เรียนรู้และเข้าใจคำพูดต่างๆ ได้เร็วเกินวัย
- เลือกใช้คำได้หลากหลาย มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการพูดจูงใจ การโน้มน้าว การอธิบาย การเล่านิทาน การโต้เถียง การใช้เหตุผล ตลอดจนการเขียนข้อความบรรยาย เขียนสรุปจะทำได้ดีมาก เด็กจะมีลักษณะนิสัยชอบคิดชอบเขียน ความจำดี
2. ความสามารถด้านตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีความถนัดเรื่องคณิตศาสตร์ เข้าใจเรื่องตัวเลขได้เร็ว
- ใช้เงินเป็นและเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- มีความสามารถในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวเลข การคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การทดลอง การสำรวจ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การใช้เหตุผล
3. ความสามารถด้านดนตรี
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ถนัดและเก่งดนตรี
- ชอบฟังเพลง ร้องเพลง และจำเนื้อเพลงได้เร็ว
- ตอบสนองกับจังหวะดนตรีได้ดี เต้นตามจังหวะดนตรีได้
- สนใจและสนุกกับการเล่นเครื่องเล่นดนตรีเป็นพิเศษ เด็กจะมีลักษณะนิสัยอารมณ์ดี ชอบร้องชอบเต้น
4. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีความสามารถในการเห็นภาพรวม
- สามารถใช้พื้นที่ในการวาดภาพได้ดี ขนาดและสัดส่วนเหมาะสม
- เข้าใจวิธีการลอกลาย
- เขียนแผนที่ได้ดี เข้าใจเรื่องทิศทาง เส้นทาง
- มองเห็นโลกในมุมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
5. ความสามารถด้านกีฬาและการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง ชอบการวิ่งเล่น ออกกำลังกาย เต้นรำ
- มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อได้ดี ทั้งการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง กระโดด มีทักษะการทรงตัวที่ดี
6. ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ชอบบริการผู้อื่น ช่างเอาอกเอาใจ
- ชอบช่วยเหลือเพื่อน
- พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน น่ารัก
- ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ดี กล้าพูดกล้าแสดงออก ชอบพบปะผู้คนหลากหลาย ชอบเข้าสังคม ไม่กลัวคนแปลกหน้า
- ชอบสังเกต มองเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล
7. ความสามารถด้านจิตวิเคราะห์
เด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ชอบเรียนรู้ ค้นคว้า วิจัย
- สามารถเขียนบันทึกประจำวันได้ดี
- สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง มีความมุ่งมั่นพยายามในการหาคำตอบ
- เข้าใจความรู้สึกของตนเอง อารมณ์มั่นคง
8. ความสามารถด้านธรรมชาติศึกษาเด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- ชอบเรียนรู้ธรรมชาติ/ สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว
- ชอบทัศนศึกษา ออกสำรวจโลกภายนอก
- จิตใจดี รักสัตว์ รักต้นไม้ ชอบปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
- ชอบสังเกตความแตกต่าง เปรียบเทียบสิ่งที่อยู่รอบตัว
9. ความสามารถในการคิดพลิกแพลงแตกต่างเด็กที่มีความสามารถด้านนี้
- คิดไว มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี
- รู้จักเลือก หรือหาวิธีในการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
- เป็นเด็กช่างคิด สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ
- ไม่หยุดนิ่งทางความคิด ชอบเทคโนโลยี
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีพหุปัญญา
- ปัญญา มีลักษณะเฉพาะด้าน
- ทุกคนมีปัญญาแต่ละด้าน ทั้ง 9 ด้านมากน้อยแตกต่างกัน
- ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นได้
- ปัญญาต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้
- ในปัญญาแต่ละด้านก็มีความสามารถหลายอย่าง
ทฤษฎีโอตา ( Auta )
ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบโอตา มีลำดับการพัฒนา4 ขั้นตอน ได้แก่ การตระหนัก ความเข้าใจ เทคนิควิธีและการตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ 1 การตระหนัก
ตั้งตระหนักถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มีต่อตนเองทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น
- การพัฒนาปรีชาญาณ
- การรู้จักและเข้าใจตนเอง
- การมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์
- การมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ขั้นตอนที่ 2 ความเข้าใจ
มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องต่าง ๆ
- มีความรู้และเนื้อหาเรื่องบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์
- ลักษณะกระบวนการความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์
- เทคนิค วิธีการฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนที่ 3 เทคนิควิธี
การรู้เทคนิควิธีในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน
- เทคนิควิธีการในการฝึกความคิดสร้างสรรค์
- การระดมสมอง
- การคิดเชิงเปรียบเทียบ
- การฝึกจินตนาการ
ขั้นตอนที่ 4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่าง ๆ
การรู้จักหรือตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง สามารถดึงศักยภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
- เปิดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยปรับตัวอย่างเหมาะสม
- มีความคิดริเริ่มและผลิตผลงานด้วยตนเอง
- สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
วงจรของการขีดๆ เขียนๆ
- เคลล็อก ( Kellogg ) ศึกษางานขีดๆเขียนๆของเด็กปฐมวัยและจำแนกขั้นตอนออกเป็น 4 ขั้นตอน ทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของงานขีดๆเขียนๆทางศิลปะที่มีผลเชื่อมโยงกับพัฒนาการของเด็ก 4 ขั้นตอน มีดังนี้ ขั้นขีดเขี่ย ขั้นเขียนเป็นรูปร่าง ขั้นรู้จักออกแบบ และขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ
ขั้นที่ 1 ขั้นขีดเขี่ย ( placement stage )
ขั้นที่ 2 ขั้นเขียนเป็นรูปร่าง ( shape stage )
ขั้นที่ 3 ขั้นรู้จักออกแบบ ( design stage )
ขั้นที่ 4 ขั้นการวาดแสดงเป็นภาพ ( pictorial stage )
- เด็กวัย 5 ขวบขึ้นไป
- เริ่มแยกแยะวัตถุที่เหมือนกับมาตรฐานของผู้ใหญ่ได้
- รับรู้ความเป็นจริง เขียนภาพแสดงถึงภาพคน/ สัตว์ได้
- ควบคุมการขีดเขียนได้ดี
- วาดสามเหลี่ยมได้
พัฒนาการด้านร่างกาย
- กีเซลล์และคอร์บิน สรุปพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวของเด็กปฐมวัยตามลักษณะพฤติกรรมทางการใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก ดังนี้
- ด้านการตัด
- อายุ 4-5 ปี ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
- อายุ 5-6 ปี ตัดกระดาษตามเส้นโค้งหรือรูปร่างต่างๆ ได้
- การขีดเขียน
- อายุ 4-5 ปี เขียนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- การพับ
- อายุ 4-5 ปี พับและรีดสันกระดาษสามทบตามแบบได้
- อายุ 5-6 ปี พับและรีดสันกระดาษได้คล่องแคล่ว หลายแบบ
- การวาด
- อายุ 4-5 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก จมูก ลำตัว เท้า
- อายุ 5-6 ปี วาดภาพคนมีศีรษะ ตา ปาก ลำตัว เท้า จมูก แขน มือ คอ ผม
การนำไปประยุกต์ใช้
สามารถนำกิจกรรมไปปรับใช้ในการเรียนการสอน ให้เด็กได้ฝึกการคิด การออกแบบผลงานและการสังเกตในการเลือกลงสีแต่ละสี และสามารถนำจุดเด่นของทฤษฎีแต่ละทฤษฎีไปปรับใช้ในการสอนกับเด็กได้อย่างเหมาะสมตรงตามพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงอายุ
สามารถนำกิจกรรมไปปรับใช้ในการเรียนการสอน ให้เด็กได้ฝึกการคิด การออกแบบผลงานและการสังเกตในการเลือกลงสีแต่ละสี และสามารถนำจุดเด่นของทฤษฎีแต่ละทฤษฎีไปปรับใช้ในการสอนกับเด็กได้อย่างเหมาะสมตรงตามพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงอายุ

- ตนเอง : เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน จดบันทึกเพิ่มเติม และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
- เพื่อน : เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานของตนเองได้ฝึกการคิดในออกแบบ การลงสี ผลงานของเพื่อนๆมีความแตกต่างกันและสวยงาม
- อาจารย์ : เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายการทำกิจกรรมได้เข้าใจ อาจารย์เดินดูผลงานของนักศึกษาขณะทำงานเพื่อให้คำชี้แนะ และอาจารย์อธิบายรายละเอียดของเนื้อหาได้ชัดเจน
ขออ้างอิงได้ไหมค่ะ
ตอบลบ